ทนายความจังหวัดกาญจนบุรี

ทนายความจังหวัดกาญจนบุรี

เปิดหน้าต่อไป

รู้กฎหมาย รู้จักทนาย ไม่เสียเปรียบ

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ กรุงเทพมหานคร

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ กรุงเทพมหานคร

1. เครือข่ายทนายความ                https://www.ทนายกรุงเทพ.com   
2. เขตวัฒนา                               https://www.ทนายภูวงษ์.com      
3. เขตตลิ่งชัน                             https://www.ทนายศิรสิทธิ์.com    
4. เขตปทุมวัน                             https://www.ทนายเจมส์.com
5. เขตลาดกระบัง                         https://www.สมาร์ทไทยลอว์เยอร์.com
6. เขตทวีวัฒนา                           https://www.ทนายอธิปไตย.com
7. เขตบางกะปี                             https://www.ทนายคดีครอบครัว.com     

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคกลาง

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคกลาง

1. จังหวัดลพบุรี                     https://www.ทนายประดิษฐ์.com
2. จังหวัดลพบุรี                     https://www.สำนักงานทนายความเฉลิมพล.com
3. จังหวัดสระบุรี                    https://www.ทนายนิดสระบุรี.com
4. จังหวัดนนทบุรี                  https://www.ทนายจอส.com
5. จังหวัดอุทัยธานี                https://www.ทนายรัชเดช.com     
6. จังหวัดนครปฐม                https://www.ทนายอนันต์.com
7. จังหวัดสมุทรสาคร            https://www.ทนายชีวารัตน์.com  
8. จังหวัดพิษณุโลก               https://www.สำนักงานฟิวชั่นโฮมลอว์.com  
9. จังหวัดนนทบุรี                  https://www.ทนายจอส.com        
10.จังหวัดนครสวรรค์            https://www.ทนายไพศาล.com
11. จังหวัดพิจิตร                  https://www.ทนายธีรภัทร.com     
12.จังหวัดสุพรรณบุรี             https://www.ทนายจักรพันธ์.com  
13.จังหวัดพิษณุโลก              https://www.ทนายเสกสรรค์.com
14. จังหวัดเพชรบูรณ์            https://www.ทนายธีรนาถ.com    
15. จังหวัดสมุทรสาคร          https://www.ทนายวณิชชา.com        

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคเหนือ

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคเหนือ

1. จังหวัดเชียงราย                https://www.ทนายแบงค์.com
2. จังหวัดน่าน                       https://www.ทนายแขก.com
3. จังหวัดพะเยา                    https://www.ทนายอรอนงค์.com  
4.จังหวัดลำพูน                      https://www.ทนายอธิปไตย.com                 
5. จังหวัดเชียงใหม่                https://www.ทนายอัษฎา.com           

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคอีสาน

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคอีสาน

1.จังหวัดสุรินทร์                    https://www.ทนายครูองอาจ.com
2. จังหวัดเลย                        https://www.ทนายขจรศักดิ์.com
3. จังหวัดสุรินทร์                   https://www.ทนายสมรส.com      
4. จังหวัดร้อยเอ็ด                  https://www.ทนายพชรร้อยเอ็ด.com
5. จังหวัดอุบลราชธานี          https://www.ทนายตั้มอุบลราชธานี.com     
6. จังหวัดอำนาจเจริญ          https://www.ทนายพิศาล.com      
7. จังหวัดขอนแก่น                https://www.ทนายศิรประภา.com               
8. จังหวัดศรีสะเกษ               https://www.ทนายโตน.com
9. จังหวัดนครราชสีมา          https://www.ทนายวรภาดา.com  
10. จังหวัดนครราชสีมา        https://www.ทนายนิติรัตน์.com    
11. จังหวัดอุดรธานี               https://www.ทนายนิธิวัฒน์.com  
12. จังหวัดนครราชสีมา        https://www.ทนายพลัฎฐ์.com
13. จังหวัดศรีสะเกษ             https://www.ทนายเตชทัต.com    
14. จังหวัดอุบลราชธานี        https://www.ทนายพิชิตชัย.com   
15. จังหวัดสกลนคร              https://www.ทนายวีระพงษ์.com
16. จังหวัดเลย(ทนายบอล)   https://www.ทนายเมืองเลย.com
17. จังหวัดอุบลราชธานี        https://www.ทนายสุพรรณ.com                                       

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคใต้

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคใต้

1. จังหวัดนครศรีธรรมราช     https://www.ทนายคดีครอบครัว.com
2. จังหวัดนครศรีธรรมราช     https://www.ทนายจิราภรณ์.com
3. จังหวัดสงขลา                   https://www.ทนายเป็นต่อ.com    
4. จังหวัดนราธิวาส               https://www.ทนายธนกร.com
5. จังหวัดภูเก็ต                     https://www.Lawyerkung.com  
6. จังหวัดสงขลา                   https://www.ทนายบุญวัฒน์.com
7. จังหวัดสุราษฎร์                 https://www.ทนายเอกทนายคุ้มครองสิทธิ์.com
8. จังหวัดสงขลา                   https://www.Okaylawyer.com        

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคตะวันออก-ตะวันตก

เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคตะวันออก

1. จังหวัดปราจีนบุรี               https://www.ทนายกอบธนัช.com
2. จังหวัดปราจีนบุรี               https://www.ทนายโชคปราจีนบุรี.com
3. จังหวัดจันทบุรี                  https://www.ทนายอุลิช.com                       


เวปไซต์สมาชิกเครือข่ายทนายความ ภาคตะวันตก

1. จังหวัดกาญจนบุรี             https://www.ทนายภู่.com
2. จังหวัดกาญจนบุรี             https://www.ทนายเสือ.com
3. จังหวัดเพชรบุรี                https://www.ทนายโต้ง.com     

รู้กฎหมายไม่เสียเปรียบ (1)

กฎหมายเกี่ยวกับมรดก

  1. มรดกคืออะไร
  2. มรดกเล็กใหญ่ ใครมีสิทธิก่อน
  3. รู้จักผู้สืบสันดาน
  4. ทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดก
  5. หากเจ้ามรดกมีคู่สมรสแล้วถึงแก่ความตายการแบ่งมรดกทำอย่างไร
  6. บุตรนอกกฎหมาย บุตรบุญธรรม มีสิทธิรับมรดกหรือไม่
  7. การเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่
  8. ลำดับทายาทโดยชอบธรรมที่จะมีสิทธิรับมรดก
  9. ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร
  10. มรดกเป็นปืน ให้ระวัง
  11. มรดกของพระต้องทำอย่างไร ทายาทต้องทำอย่างไร
  12. เหตุเพราะไม่ทำพินัยกรรม ทายาทถึงมีปัญหา
  13. เป็นพระสงฆ์มีสิทธิได้รับมรดกหรือไม่
  14. ทรัพย์สินของพระที่ได้มาระหว่างบวช มรณภาพแล้ว ทรัพย์นั้นไปใหน

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com 


1. มรดกคืออะไร

คำว่า มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดที่ผู้ตายมีอยู่ก่อนตาย รวมถึงสิทธิและหน้าที่ความรับผิดต่างๆ เว้นแต่โดยสภาพตามกฎหมายเป็นเฉพาะตัวตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 และทรัพย์สินรวมทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดที่เป็นมรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อบุคคลผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามบทบัญญัติของมาตรา 1599 การตกทอดมรดกในทรัพย์สินนั้นตกทอดทันทีที่เจ้ามรดกเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลของกฎหมาย อย่างไรก็ดี แม้ว่าทรัพย์มรดกเกี่ยวกับหนี้สินของผู้ตายจะมีมากเท่าใด ความรับผิดชอบในหนี้สินแม้จะตกแก่ทายาท แต่ทายาทที่รับมรดกก็ไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้นั้นเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตนได้รับ เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1601 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com 


2. มรดกเล็กใหญ่ ใครมีสิทธิก่อน

ปัญหาเรื่องมรดกกลายเป็นต้นเหตุให้ผู้คนเกิดการแก่งแย่งกันมามากมายแล้ว หากเจ้าของมรดกทำพินัยกรรมเอาไว้เรียบร้อยก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ทำไว้ ลูกหลานจะทำอย่างไรกันดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 มาตรา 1630 และ มาตรา 1631 กำหนดให้ทายาทที่จะได้รับมีมรดกเพียง 6 ลำดับ คือ 1. ผู้สืบสันดาน (ลูกเจ้าของมรดก) 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้อง ร่วมบิดา หรือร่วมมารดาเดียวกัน 5. ปู่ ย่า ตา ยาย และ 6. ลุง ป้า น้า อา โดยส่วนใหญ่ทายาทชั้นที่ชิดสนิทที่สุดของเจ้ามรดกเท่านั้นคือ 1. ผู้สืบสันดาน (ลูกเจ้าของมรดก) 2. บิดามารดาจะได้รับมรดกก่อน และกฎหมายยกเว้นให้ทั้งสองลำดับดังกล่าวอยู่ในลำดับเดียวกัน หากทายาท 2 ลำดับแรก คือ ผู้สืบสันดานและบิดามารดาไม่มีชีวิตอยู่ทั้งหมด ทายาทลำดับ 3 ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของเจ้ามรดกอยู่ก็จะได้รับทรัพย์สินไป โดยทายาทที่อยู่ในลำดับที่ 4 ถึง 6 ก็จะไม่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกได้ รู้ลำดับชั้นของกฎหมายกันแล้ว ญาติพี่น้องจะได้ไม่ต้องมานั่งทะเลาะ แย่งสมบัติกันให้เจ้าของมรดกนอนตายตาไม่หลับ

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com


3. รู้จักผู้สืบสันดาน

เวลาที่เราอ่านหนังสือกฎหมายเรื่องเกี่ยวกับมรดกมักจะพบคำว่า “ผู้สืบสันดาน” ทำให้เกิดความสงสัยว่าหมายถึงใคร ทั้งนี้ตามกฎหมายระบุไว้ว่า ผู้สืบสันดาน หมายถึง ผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา ได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื่อ ลื่อก็คือ คนที่สืบต่อจากเหลนลงมา เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (1) นอกจากนี้ในกลุ่มของผู้สืบสันดานยังสามารถแบ่งประเภทของบุตรที่จะมีสิทธิได้รับมรดกในลำดับชั้นเดียวกัน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 ประกอบด้วย 1. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรที่เกิดจากบิดาที่จดทะเบียนสมรส 2. บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองหรือบุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่อยู่กินกัน ฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ต่อมาบิดาได้รับรอง เช่น การแจ้งเกิด การให้ใช้นามสกุล การส่งเสียเลี้ยงดู หรือการแสดงเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าเป็น บุตรของตน 3. บุตรบุญธรรมหรือการรับลูกคนอื่นมาเลี้ยงเสมือนเป็นลูกของตัวเอง โดยต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย เข้าใจภาษามรดกแล้ว คราวนี้การศึกษาหรือการแบ่งทรัพย์สินก็ทำได้ไม่ยากอีกต่อไป

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้ศาล 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com


4. ทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิได้รับมรดก

การที่ทายาทโดยธรรมจะมีสิทธิได้รับมรดกนั้น เจ้ามรดกจะต้องไม่ทำพินัยกรรมยกให้บุคคลอื่นไว้ เพราะหากทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์มรดกนั้นจะต้องตกเป็นของผู้รับพินัยกรรมแต่เพียงผู้เดียว ทายาทโดยธรรมจะได้รับมรดกก็ต่อเมื่อทรัพย์มรดกนั้นไม่ได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ลำดับที่ 1 ถึง 6 จึงจะมีสิทธิได้รับมรดกและต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติการจัดแบ่งทรัพย์มรดกด้วย

มีปัญหาปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com 


 5. หากเจ้ามรดกมีคู่สมรสแล้วถึงแก่ความตายการแบ่งมรดกทำอย่างไร่

การที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายขณะที่มีคู่สมรส หากทรัพย์สินนั้นเป็นสินสมรส จะต้องจัดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเสียก่อน โดยถือว่า หนึ่งส่วนเป็นของคู่สมรสแต่ผู้เดียว และอีกส่วนหนึ่ง เป็นทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ทายาท ซึ่งจะต้องนำมาจัดแบ่งตามลำดับของประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1629


6. บุตรนอกกฎหมาย บุตรบุญธรรม มีสิทธิรับมรดกหรือไม่

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ได้บัญญัติไว้ว่าบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรม ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การเป็นบุตรที่เกิดจากชายที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับหญิง จะมีสิทธิได้รับมรดกของชายได้ ก็ต่อเมื่อผู้เป็นบิดาได้รับรองว่าเป็นบุตร ซึ่งการรับรองบุตรดังกล่าว อาทิ การส่งเสียเลี้ยงดู ให้ใช้นามสกุล เมื่อแรกคลอดระบุว่าเป็นบิดา โดยที่มีบุคคลทั่วไปรับรู้ เหตุดังกล่าวถือว่า บิดาได้รับรองแล้ว บุตรผู้นั้นจึงมีสิทธิได้รับมรดกเสมือนเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (1) เช่นเดียวกับบุตรบุญธรรมซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกจากผู้รับบุตรบุญธรรม โดยกฎหมายให้ถือว่า เป็นผู้สืบสันดานที่มีสิทธิได้รับมรดก เสมือนกับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย


7. การเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่

การที่บุคคลใดจะมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาท บุคคลนั้นจะต้องมีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมายด้วย ซึ่งสภาพบุคคลย่อมเริ่มต้นตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดาและอยู่รอดเป็นทารก และทารกในครรภ์มารดา ก็สามารถมีสิทธิต่างๆ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดมาเป็นทารก ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 ประกอบมาตรา 15 ดังนั้น ทายาทจะมีสิทธิรับมรดกต้องมีสภาพบุคคลตามบทบัญญัติดังกล่าวอย่างไรก็ดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 วรรคสองได้กำหนดไว้ว่า การที่ชายและหญิงจดทะเบียนสมรสกัน และหญิงตั้งครรภ์ก่อนที่จะคลอดบุตร ต่อมาชายเจ้ามรดกถึงแก่ความตายไปก่อนหากหญิงคลอดบุตรภายในสามร้อยสิบวันนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายให้ถือว่าทารกที่เกิดมาเป็นทายาทของชายผู้นั้นและมีสิทธิได้รับมรดกด้วย


8. ลำดับทายาทที่จะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนและหลัง

ทายาทโดยธรรมจะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหรือหลัง เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ดังนี้ 1. ผู้สืบสันดาน เช่น ลูก หลาน เหลน ลื้อ 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดา 4. พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดา 5. ปู่ย่า ตายาย 6. ลุงป้า น้าอา ทั้งนี้กฎหมายกำหนดให้ทายาทโดยธรรมที่มีลำดับต้นๆ มีสิทธิได้รับมรดกก่อนลำดับหลังทายาทที่มีลำดับถัดมาจะไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย ถ้ายังมีทายาทโดยธรรมลำดับก่อนตนเป็นไปตามมาตรา 1630 วรรคแรก อย่างไรก็ดี กฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่า กรณีที่คู่สมรสและบิดามารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้มีสิทธิได้รับมรดกเท่ากับทายาทชั้นบุตรหรือผู้สืบสันดาน ตามบทบัญญัติมาตรา 1635 (1) และมาตรา 1630 วรรคที่สอง นอกจากนี้ตามบทบัญญัติมาตรา 1631 กำหนดไว้ว่า ในระหว่างผู้สืบสันดานต่างชั้นกัน บุตรของเจ้ามรดกอันอยู่ในลำดับชั้นสนิทเท่านั้นมีสิทธิได้รับมรดก ผู้สืบสันดานชั้นถัดไปจะรับมรดกก็ได้แต่ต้องอาศัยสิทธิในการรับมรดกแทนที่ กรณีดังกล่าวหมายถึงผู้สืบสันดานซึ่งเป็นทายาทเจ้ามรดกลำดับที่ 1 เช่น เจ้ามรดกมีลูกและหลาน ซึ่งเป็นผู้สืบสันดานเช่นกัน ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกก่อนคือ ลูกของเจ้ามรดกซึ่งถือเป็นชั้นสนิทที่สุด สำหรับหลานจะได้มรดกนั้นต้องเป็นการรับมรดกแทนที่เท่านั้น


9. ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร

ทายาทที่มีสิทธิ์ได้รับมรดกมี 2 ประเภท คือ 1. ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย เรียกว่า ทายาทโดยธรรม และ 2. ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม เรียกว่า ผู้รับพินัยกรรม ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1603 ทายาทโดยธรรมนั้น กฎหมายได้ลำดับทายาทไว้ก่อนหลังตามบทบัญญัติ มาตรา 1629 ซึ่งได้แก่ 1. ผู้สืบสันดาน 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดา 4. พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดา 5. ปู่ย่า ตายาย 6. ลุงป้า น้าอา นอกจากนี้ คู่สมรสก็ถือเป็นทายาทโดยธรรม ตามบทบัญญัติมาตรา 1635 ซึ่งมีสิทธิเทียบเท่าทายาทลำดับที่ 1 คือ ผู้สืบสันดานหรือเทียบเท่าชั้นบุตรนั่นเอง


10. มรดกเป็นปืน ให้ระวัง

การได้รับมรดกจากพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ที่ดิน เงินทอง ฯลฯ สินทรัพย์เหล่านี้ผู้เป็นลูกหลานย่อมยินดีจะรับไว้และเต็มใจที่จะดำเนินการเพื่อ ครอบครอง แต่ถ้าหากมรดกนั้นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เช่น พวกอาวุธปืน ควรจะต้องทำอย่างไร แม้ว่าผู้รับจะอยากได้หรือไม่ก็ตาม แต่ผู้รับมรดกมีหน้าที่ที่จะต้องไปดำเนินการ ตามกฎหมาย คือแจ้งต่อนายทะเบียนภายในท้องที่ภายใน 30 วันว่าผู้ครอบครอง เดิมนั้นเสียชีวิตแล้ว และขอใบอนุญาตใหม่สำหรับตนเองเพื่อครอบครองอาวุธปืน เป็นไปตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 64 วรรคแรก หากไม่ทำหรือละเลย ปล่อยทิ้งเอาไว้ ก็อาจกลายเป็นการครอบครองอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความผิดตามมาตรา 83 ปรับไม่เกิน 1,000 บาท


11. มรดกของพระต้องทำอย่างไร ทายาทถึงจะได้

หากในระหว่างบวชเป็นพระสงฆ์มีญาติโยมมอบเงินทอง ที่ดิน รถยนต์ให้ใช้ และปรากฎว่าต่อมาภิกษุรูปนั้นเกิดมรณภาพ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1623 กำหนดว่า ทรัพย์สมบัติดังกล่าวต้องตกเป็นของวัด ที่จำพรรษาอยู่ ดังนั้น ทายาทจะมาร้องขอส่วนแบ่งจากวัดไม่ได้ ยกเว้นแต่ ระหว่างท่านยังมีชีวิตอยู่ได้มอบทรัพย์สินเงินทองให้ใคร หรือทำพินัยกรรมเอาไว้ให้บุคคลอื่นได้ เพราะทรัพย์ดังกล่าวเป็นของท่านที่จะมอบให้ใครก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น พระมนัสได้ทำพินัยกรรมมอบรถยนต์ให้แก่น้องชายตัวเองเอาไว้ ต่อมาเมื่อพระมนัสมรณภาพ รถยนต์คันดังกล่าวก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของน้องชาย โดยที่วัดไม่มีสิทธิ์ยึดครองเอาไว้ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ที่มิได้ทำพินัยกรรมไว้ย่อมตกเป็นของวัด โดยที่ญาติของพระมนัสจะมาเรียกร้องไม่ได้เช่นกัน


12. เหตุเพราะไม่ทำพินัยกรรม ทายาทถึงมีปัญหา

เมื่อมีทั้งคู่สมรสและเครือญาติ เรื่องของมรดกนั้น หากเจ้ามรดกทำพินัยกรรมเรียบร้อยย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ทำไว้นี่เองย่อมกลายเป็นเรื่องยุ่งยากตามมา กรณีที่ผู้ตายซึ่งเป็นเจ้ามรดกมีสามีหรือภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้อง ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่มีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์สินครึ่งหนึ่งจากมรดกส่วนที่เป็นสินสมรสก่อน ตามประมวล กฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1625 ส่วนสินสมรสที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ก็จะตกเป็นมรดกของทายาท ดังนั้น คู่สมรสจึงมีสิทธิได้รับมรดกอีกครั้งหนึ่งในฐานะทายาทร่วมกับ (ลูกเจ้ามรดก) และบิดามารดาของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่ตามประมวล กฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1629, 1635 (1) ตัวอย่างเช่น นายเอและนางบี เป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย และมีทรัพย์สินรวมกัน 1,000,000 บาท มีบุตรด้วยกัน 1 คน และมีบิดา และมารดาของนายเอที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย ต่อมานายเอเสียชีวิต เบื้องต้นทรัพย์สิน จำนวน 1,000,000 บาท นางบีจะได้รับเงินจำนวน 500,000 บาท ไปก่อน ซึ่งถือเป็นเงินสินสมรส ส่วนที่เหลืออีก 500,000 ก็ตกเป็น มรดกของทายาทตามลำดับของนายเอ ที่ประกอบด้วยบุตร บิดามารดา ที่ยังมีชีวิต และนางบีภรรยาอีกด้วย โดยจะได้ส่วนแบ่งในอัตราสัดส่วน เท่าๆ กัน คือคนละ 125,000 บาท ขณะที่นางบีภรรยาจะได้เงินรวมทั้งสิ้น 625,000 บาท


13. เป็นพระสงฆ์มีสิทธิได้รับมาดกหรือไม่

 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1622 ได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของพระภิกษุในการรับมรดก ดังนี้ พระภิกษุนั้น จะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่จะได้สึกจากสมณะเพศ และมาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 และวรรคสองของมาตรา 1622 ได้บัญญัติไว้ว่า พระภิกษุนั้น อาจเป็นผู้รับพินัยกรรมได้ดังนั้น กรณีมีบุคคลที่บวชเป็นพระ หากต้องการเรียกร้องทรัพย์สินมรดกในฐานะที่ตนเป็นทายาทโดยธรรมจะต้องสึกจากการเป็นพระเสียก่อนแล้วมาเรียกร้องทรัพย์มรดกได้ อย่างไรก็ดี การที่มาเรียกร้องทรัพย์มรดกจะต้องเรียกร้องภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามบทบัญญัติของมาตรา 1754 แต่สำหรับกรณีที่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้พระภิกษุนั้น พระภิกษุไม่จำเป็นต้องสึกจากการเป็นพระเสียก่อนแต่อย่างใด ทั้งนี้สามารถรับมรดกในฐานะทายาท โดยพินัยกรรมได้ทันทีที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย


14. ทรัพย์สินของพระที่ได้มาระหว่างบวช มรณภาพแล้ว ทรัพย์นั้นไปใหน

ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ได้บัญญัติว่าทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาระหว่างที่อยู่ในสมณะเพศนั้น เมื่อพระภิกษุถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้นหรือที่อยู่ในขณะมรณภาพ แต่อย่างไรก็ตาม หากพระภิกษุในขณะมีชีวิตอยู่ได้ทำการจำหน่าย จ่ายโอนทรัพย์สินนั้นไปหรือยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่น ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ตกแก่วัด อีกทั้งพระภิกษุก็มีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่นได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ทรัพย์สินใดของพระภิกษุได้มาก่อนอุปสมบท ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ตกเป็นของวัดแต่อย่างใด หากไม่ได้จำหน่ายจ่ายโอนให้ผู้ใด เมื่อพระภิกษุมรณภาพ ทรัพย์สินนั้นก็ตกเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมต่อไป ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1624

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ฝากข้อความให้ทนายติดต่อกลับ https://bit.ly/หาทนาย
   

รู้กฎหมายไม่เสียเปรียบ (2)

เกี่ยวกับกฎหมายครอบครัว

* อยากมีคู่ต้องดูอายุด้วย

* การหมั้นคืออะไร

* การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่

* สินสอด

* เงื่อนไขการสมรส

* การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องทำอย่างไร

* การจดทะเบียนสมรสซ้อนมีผลอย่างไร

* ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา

* สินสมรสคืออะไร

* การแบ่งสินสมรส

* สินส่วนตัวคืออะไร

* หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง

* การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนกัน

* การรับบุตรบุญธรรม

* สิทธิของบุตรบุญธรรม

* การเป็นบุตรบุญธรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย

* ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน

* ความผิดฐานทิ้งลูก

* ความผิดฐานแท้งลูก

* ความรุนแรงในครอบครัว


- [ ] อยากมีคู่ต้องดูที่อายุด้วย

หนุ่มสาวหรือวัยรุ่นมักใจร้อนอยากจดทะเบียนสมรสกันเร็วๆ แต่ในทางกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ว่า ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงจะทำการสมรสกันได้ เว้นแต่มีเหตุอันสมควรก็ขอให้ศาลสั่งให้สามารถสมรสกันได้ ตัวอย่างเช่น นายเอกับนางสาวบี ทั้งคู่อายุ 15 ปี ทั้งสองรักกันมากและต้องการจดทะเบียนสมรสกันแต่ไม่สามารถทำได้เพราะกฎหมายไม่อนุญาต ในทางกลับกัน สมมุติว่านายเอกับนางสาวบีเกิดได้เสียกันและนางสาวบีได้ตั้งท้อง บิดาและมารดาของทั้งสองฝ่ายจึงต้องไปร้องขออนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสกันได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448

- [ ] การหมั้นคืออะไร

การหมั้น ในความเข้าใจของประชาชนทั่วไป หมายถึง การจองตัวไว้ก่อนที่จะมีการแต่งงานกัน หรือสมรสกันตามกฎหมาย แต่กฎหมายบัญญัติให้การหมั้นจะมีผลตามกฎหมายได้ การหมั้นนั้นจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปี บริบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น หากการหมั้นฝ่าฝืนโดยที่ชายหญิงที่หมั้นกันมีอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปี การหมั้นนั้นตกเป็นโมฆะ และการหมั้นนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองด้วย ซึ่งอาจเป็นพ่อ แม่ หรือผู้มีอำนาจปกครองขณะนั้น ส่วนของหมั้นจะต้องมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้หญิงคู่หมั้นขณะที่ทำการหมั้นด้วย โดยฝ่ายชายเป็นผู้ส่งมอบของหมั้นเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น หากส่งมอบให้ภายหลังการหมั้นไม่ถือว่าเป็นของหมั้น ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435 มาตรา 1436 และมาตรา 1437 และเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นของหญิงทันที

- [ ] การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่

กรณีเมื่อมีการหมั้นแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องให้ทำการสมรสด้วยไม่ได้ เพราะเหตุว่า การสมรสนั้นต้องเป็นการยินยอมที่จะอยู่กินฉันท์สามีภรรยากันด้วยความเต็มใจ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1438 ที่บัญญัติว่า การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ แต่อย่างใดก็ดี ฝ่ายที่ผิดสัญญาไม่ทำการสมรส อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน รวมทั้งหากฝ่ายหญิงผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439

- [ ] สินสอด

สินสอด หมายถึง ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 ดังนั้น สินสอดเป็นทรัพย์สิน เช่น เงิน ทองคำ หรืออาจเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้ปกครองหรืออาจเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมของฝ่ายหญิง เป็นการตอบแทนที่ให้หญิงนั้นยอมสมรสกับตนเอง แต่เมื่อทำการหมั้นแล้ว หากฝ่ายหญิงไม่ทำการสมรสกับฝ่ายชายโดยผิดสัญญาหรือมีเหตุการณ์หรือพฤติการณ์บางอย่างที่ฝ่ายหญิงต้องรับผิด ทำให้ฝ่ายชายไม่ควรสมรสกับฝ่ายหญิง ฝ่ายชายสามารถเรียกสินสอดคืนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 วรรคสอง และวรรคสามบัญญัติเอาไว้

- [ ] เงื่อนไขการสมรส

การสมรส กฎหมายกำหนดเงื่อนไขไว้หลายประการ เช่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 บัญญัติไว้ว่า การสมรสจะทำได้เมื่อชายและหญิงนั้นมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสได้ ดังนั้น การสมรสจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีทั้งสองฝ่าย แต่อย่างไรก็ดี หากมีเหตุที่จำเป็นอันสมควร ดังเช่น ชายและหญิงมีความสัมพันธ์กันก่อนมีอายุสิบเจ็ดปี หากหญิงเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา กรณีนี้อาจร้องต่อศาลขอทำการสมรสได้ ถือว่ามีเหตุอันสมควรตามกฎหมาย

- [ ] การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายทำอย่างไร

การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายก็คือ การที่ทั้งชายและหญิงต้องไปจดทะเบียนสมรสกันกับนายทะเบียนและต้องไปเปิดเผยต่อนายทะเบียนด้วยว่าตนยินยอมที่จะเป็นสามีภรรยากัน โดยที่นายทะเบียนต้องบันทึกการยินยอมไว้ด้วยหรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า จดทะเบียนสมรส เมื่อกระทำครบถ้วนข้างต้นจึงจะถือว่า การจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าหากมีการจัดงานแต่งงานเลี้ยงแขกอย่างยิ่งใหญ่แต่ไม่ไปจดทะเบียนสมรสกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยาตามกฎหมายและไม่เกิดสิทธิใดๆ ต่อกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457 และมาตรา 1458

- [ ] การจดทะเบียนสมรสซ้อน

การสมรสซ้อนเป็นกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่ไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอีกคนหนึ่งทั้งที่ตนเองมีคู่สมรสอยู่แล้ว ถือว่าการสมรสครั้งหลังนี้ตกเป็นโมฆะ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 บัญญัติไว้ว่า ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ และมาตรา 1495 บัญญัติว่า การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1452 ตกเป็นโมฆะ อย่างไรก็ดี การที่จะกระทำให้การสมรสครั้งหลังเป็นโมฆะโดยสมบูรณ์เพราะเหตุจดทะเบียนซ้อนนี้กฎหมายระบุให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือมีส่วนได้เสีย เช่น สามีหรือภรรยาของผู้ที่คู่สมรสของตนไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอื่น ซึ่งได้รับความเสียหายโดยตรงกล่าวขึ้นอ้างต่อศาลและร้องต่อศาลว่าการสมรสเป็นโมฆะ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497

- [ ] ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา

ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1470 ได้บัญญัติไว้ว่า ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัวย่อมเป็นสินสมรส ดังนั้น เมื่อชายและหญิงสมรสกัน ซึ่งถือเสมือนว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันในการดำรงชีวิต แต่อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายอาจมีทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนมาก่อนที่จะสมรสกัน กฎหมายจึงได้แบ่งแยกทรัพย์สินของสามีภรรยาออกเป็นสองประการ คือ สินส่วนตัวและสินสมรส โดยที่สินส่วนตัวนั้นเป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จะดูแลจัดการด้วยตนเอง ส่วนสินสมรสนั้นทั้งสองฝ่ายต้องดูแลและจัดการร่วมกัน

- [ ] สินสมรสคืออะไร

คำว่าสินสมรส ก็คือทรัพย์สินที่สามีภรรยามีส่วนร่วมกันในทรัพย์สินนั้น การจัดการทรัพย์สินก็ต้องจัดการร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 บัญญัติไว้ว่า สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน 1. ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส 2. ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือที่ระบุว่าเป็นสินสมรส 3. ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว และมาตรา 1474 วรรคสอง ยังบัญญัติต่อไปอีกว่า กรณีที่สงสัยว่าทรัพย์สินเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ดังนั้น ทรัพย์สินที่จะเป็นสินสมรส ต้องไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีมาก่อนสมรสนั้นเอง คือได้มาระหว่างสมรสอีกประการหนึ่ง กรณีหากฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์สินส่วนตัว ต่อมามีดอกผลที่เกิดจากการใช้ทรัพย์เหล่านั้น เช่น ฝ่ายหญิงเลี้ยงสุนัขก่อนสมรส ต่อมาฝ่ายหญิงได้ทำการสมรสและสุนัขที่ได้เลี้ยงไว้นั้น ได้ให้กำเนิดลูกสุนัข ส่งผลให้ลูกสุนัขที่เกิดมาเป็นดอกผลที่เกิดขึ้นจากสินส่วนตัว แต่เนื่องจากเกิดขึ้นภายหลังการสมรส ดังนั้น ลูกสุนัขจึงกลายเป็นสินสมรสด้วย อีกกรณีหนึ่งที่เป็นสินสมรสก็คือคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทรัพย์สินมาโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือที่ระบุไว้ให้เป็นสินสมรส กรณีทั้งสามประการจึงเป็นสินสมรส ซึ่งสามีและภรรยาจะต้องจัดการดูแลร่วมกันหรือต้องได้รับยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งจึงจะจัดการโดยลำพังได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 วรรคแรก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 ได้แบ่งประเภทของสินสมรสไว้ 3 ประเภท ดังนี้ (1) ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส (2) ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส และ (3) ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

ชีวิตคู่เป็นเรื่องของบุคคล 2 คน ที่ต้องแบ่งปันและใช้ชีวิตร่วมกัน แต่หากวันใดไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปก็สามารถตกลงแยกทางกันได้ และสามารถแบ่งหรือโอนทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสให้แก่กันได้ รวมทั้งหากมีหนี้สินร่วมกันก็ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1489

- [ ] การแบ่งสินสมรส

เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยการหย่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 บัญญัติให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงเท่าๆ กัน และมาตรา 1535 ได้บัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดของหญิงชายภายหลังการสมรสสิ้นสุดลงไว้ว่า ให้แบ่งความรับผิดในหนี้ตามส่วนเท่ากันตามบทบัญญัติดังกล่าว สรุปได้ว่าเมื่อการสมรสสิ้นสุดลงให้ชายและหญิงที่หย่ากันแบ่งสินสมรสกันคนละครึ่งในส่วนที่เท่ากัน ส่วนความรับผิดเกี่ยวกับหนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างเป็นสามีภรรยากันนั้นก็ต้องรับผิดในส่วนเท่าๆ กันเช่นกัน ยกเว้นหนี้ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างขึ้นเป็นหนี้ส่วนตัวโดยแท้ไม่เกี่ยวกับสินสมรส ทั้งนี้ฝ่ายที่ก่อหนี้ต้องรับผิดเองเป็นการส่วนตัว

- [ ] สินส่วนตัวคืออะไร

คำว่า สินส่วนตัว ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 ได้กำหนด สินส่วนตัวไว้ดังนี้ 1. ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส 2. เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกายตามฐานะเครื่องมือประกอบวิชาชีพ 3. ทรัพย์สินที่ฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา 4. ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น อย่างไรก็ดีหากสินส่วนตัว มีการนำไปแลกเปลี่ยนหรือขายหรือซื้อได้มา ซึ่งทรัพย์สินอื่นที่ได้มาแทนนั้น ก็ยังเป็นสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นเช่นเดิม ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1472

- [ ] หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง

เมื่อคู่สมรสที่เคยรักกันต้องสิ้นสุดความสัมพันธ์กันแล้ว นอกจากสินสมรสที่ต้องแบ่งให้เท่าๆ กันแล้ว ในส่วนของหนี้สินที่เกิดมาร่วมกันระหว่างสมรสก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบไปในส่วนเท่าๆ กันด้วย ตัวอย่างเช่น นายสมโชคได้จดทะเบียนหย่าร้างกับนางสมพร โดยทั้งคู่มีเงินสดอยู่ 500,000 บาทที่เป็นสินสมรส ขณะเดียวกันนายสมโชคก็มีหนี้อยู่ 100,000 บาทที่เกิดจากไปกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นค่าใช่จ่ายในการเรียนของลูก ต่อมาเมื่อทั้งคู่หย่าร้างกันจะต้องแบ่งสินสมรสกันคนละ 250,000 บาท ขณะเดียวกันนางสมพรจะต้องช่วยรับผิดชอบหนี้จำนวนดังกล่าวที่นายสมโชคก่อขึ้นระหว่างสมรสจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือ 50,000 บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 มาตรา 1535

- [ ] ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินที่เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา ไม่ว่าเกิดจากฝ่ายสามีกระทำกับภรรยา หรือเกิดจากฝ่ายภรรยากระทำกับสามี เช่น การขโมยเงิน และของมีค่า หรือฉ้อโกงหลอกลวงเงิน แม้กฎหมายถือว่าเป็นความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะกฎหมายมองว่าเป็นเหตุส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 ตัวอย่างเช่น สามีขโมยสร้อยคอทองคำซึ่งเป็นสินส่วนตัวของภรรยาไปขาย แม้สามีจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่กฎหมายก็มีเหตุยกเว้นโทษ เนื่องจากเป็นเหตุ ส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ เนื่องจากต้องการคุ้มครองความผาสุกของสามีภรรยาในระบบครอบครัวอันเป็นสถาบันพื้นฐานของสังคม แม้กฎหมายจะไม่เอาผิด แต่เรื่องในลักษณะนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นย่อมจะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากกว่า

- [ ] การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส

การที่ชายและหญิงอยู่กินฉันท์สามีกรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรเกิดขึ้นมา บุตรนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 บัญญัติหลักกฎหมายไว้ว่า เด็กที่เกิดจากหญิงที่มิได้สมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้นการที่หญิงและชายอยู่กินฉันท์สามีภรรยา เมื่อมีบุตรขึ้นมากฎหมายให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น แต่อย่างไรก็ดี เด็กที่เกิดขึ้นมานั้นจะเป็นบุตรโดยชอบของชายได้ก็ต่อเมื่อ ชายและหญิงนั้นสมรสกันในภายหลัง หรือบิดาจดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร และในกรณีหลังนี้กฎหมายให้มีผลแก่บุตรย้อนไปถึงวันที่บุตรเกิด โดยถือว่าชายนั้นเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตรนับแต่วันที่เด็กเกิด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และมาตรา 1557

- [ ] การรับบุตรบุญธรรม

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/19 และมาตรา 1598/20 ได้วางกฎเกณฑ์ตามกฎหมายการรับบุตรบุญธรรมไว้ว่า บุคคลที่ต้องการรับบุคคลอื่นเป็นบุตรบุญธรรมนั้น ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี และต้องมีอายุแก่กว่าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อยสิบห้าปี และหากบุตรบุญธรรมอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปี ผู้นั้นต้องให้ความยินยอมด้วย นอกจากนี้ หากผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์และมีพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่ ต้องได้รับการยินยอมจากบุคคลเหล่านั้นด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/21 อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้รับบุตรบุญธรรมมีคู่สมรส ต้องให้คู่สมรสยินยอมในการรับบุตรบุญธรรมด้วย ตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/25 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

- [ ] สิทธิของผู้รับบุตรบุญธรรม

กรณีรับบุตรบุญธรรมนั้น ทำให้ผู้ที่รับบุตรบุญธรรมมีสิทธิเป็นผู้ปกครองแทนบิดามารดาหรือผู้ปกครองเดิมนับแต่รับบุตรบุญธรรม โดยทำหน้าที่อบรมสั่งสอน อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลบุตรบุญธรรมเสมือนบุตรที่แท้จริงของตน ตามหน้าที่ เช่นบิดา มารดาทั่วไปพึงกระทำ แต่การเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมไม่ทำให้เกิดสิทธิในการรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/29

- [ ] สิทธิขอบบุตรบุญธรรม

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/28 ได้กำหนดให้สิทธิผู้ที่เป็นบุตรบุญธรรม ไว้ว่า บุตรบุญธรรมจะมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมกล่าวคือ มีสิทธิเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิได้รับการอุปการะเลี้ยงดูและมีสิทธิได้รับมรดกตกทอดเสมือนทายาทชั้นบุตรของผู้รับบุตรบุญธรรมทุกประการแต่ก็ไม่เสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่ได้กำเนิดมาแต่เดิม เช่น มีสิทธิในการรับมรดกตกทอดจากบิดามารดาทายาทเดิม เพียงแต่อำนาจในการปกครองตกอยู่ในอำนาจของผู้รับบุตรบุญธรรม บิดามารดาหมดอำนาจปกครองนับแต่เด็กตกเป็นบุตรบุญธรรมของผู้รับบุตรบุญธรรม

- [ ] การเป็นบุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย

การที่จะเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น จะต้องนำไปจดทะเบียนและต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/21 สำหรับกรณีของผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุตรคนอื่นอยู่ จะไปขอเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกไม่ได้ ยกเว้นจะเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมของตนซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/26

- [ ] ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน

ชื่อสกุลหลักการหย่า

กฎหมายไทยในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยา หรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของใครของมันก่อนจดทะเบียนสมรสก็ได้ อย่างไรก็ดี หากการสมรสดังกล่าวมิได้ราบรื่นอีกต่อไป ต้องจบลงด้วยการเลิกราไม่ว่าจะเป็นเพราะจดทะเบียนหย่าโดยความสมัครใจของทั้งคู่ หย่าตามคำพิพากษาให้เพิกถอนการสมรส เช่น การสมรสโมฆะ เพราะการสมรสซ้อน เหล่านี้ หากคู่สมรสดังกล่าวเคยตกลงที่จะใช้นามสกุลของฝ่ายใดร่วมกันแล้ว เมื่อหย่าร้างหรือศาลเพิกถอนการสมรส ข้อตกลงใช้นามสกุลร่วมกันก็เป็นอันสิ้นสุด และแต่ละฝ่ายก็ต้องเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนจดทะเบียนสมรส

ชื่อสกุลหลังคู่สมรสเสียชีวิต

กฎหมายไทยในปัจจุบันเปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยาหรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของตนต่อไปก็ได้ อย่างไรก็ดีหากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายเป็นเหตุให้การสมรสดังกล่าวสิ้นสุดลงตัวอย่างเช่น นายสมชาย หอมจับจิตสมรสกับนางสาวสมหญิง หอมสุดใจทั้งคู่ตกลงร่วมกันใช้นามสกุลของสามีสมหญิงจึงเปลี่ยนนามสกุลเป็น หอมจับจิต ตามนามสกุลของสมชาย ต่อมาสมชายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ สมหญิงมีสองทางเลือกคือ จะใช้นามสกุลหอมจับจิตของอดีตสามีต่อไปก็ได้ และใช้ได้ตลอดไปตราบเท่าที่สมหญิงไม่ได้สมรสใหม่ หรือสมหญิงอาจจะเลือกเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนการสมรสก็ได้

- [ ] ชื่อสกุลของหญิงทีสามี

แต่ก่อนแต่ไรมา พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 กำหนดบังคับไว้ว่า หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น จะใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรสไม่ได้ หรือแม้จะใช้นามสกุลอื่นให้ผิดแผกแตกต่างไปจากนามสกุลที่สามีใช้อยู่ก็ไม่ได้ ทางออก ณ ขณะนั้นก็คือ หญิงมีสามีทั้งหลายเลี่ยงไปใช้นามสกุลเดิมของตนในฐานะที่เป็นชื่อรอง อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า บทบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อสตรี เพราะจัดให้มีสถานะทางกฎหมายที่ด้อยกว่าสามี เป็นการเลือกปฏิบัติระหว่างหญิงกับชาย ขัดต่อหลักความเสมอภาค จึงเป็นอันใช้บังคับมิได้ และนับแต่นั้นมา ผู้หญิงก็มีทางเลือกมากขึ้น

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตราที่กำหนดบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลของสามีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดหลักความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงคำวินิจฉัยดังกล่าวก็นำมาสู่การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายชื่อบุคคลกันอีกครั้งเมื่อปี 2548 เปลี่ยนแปลงให้สิทธิแก่ทั้งหญิงและชายได้มีทางเลือกมากยิ่งขึ้นดังนี้ไม่ว่าชายหรือหญิงเมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้นามสกุลใด อย่างไร ให้เป็นไปตามที่ทั้งคู่เลือกและตกลง ซึ่งก็มีอยู่ 3 ทางเลือก ทางแรก ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรส ไม่เปลี่ยนแปลง ทางที่สอง เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามีหรือไม่ก็ทางเลือกที่สามคือคู่สมรสทั้งสองฝ่ายเลือกใช้นามสกุลของภรรยา

กฎหมายชื่อบุคคลของไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนับว่าเป็นหนึ่งในกฎหมายที่ก้าวหน้า เพราะว่าให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรีเท่าเทียมบุรุษ ในการเลือกใช้นามสกุลภายหลังการสมรส แตกต่างจากเดิมที่บังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น แต่กฎหมายปัจจุบัน ให้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ว่า จะใช้นามสกุลของฝ่ายใด หรือแม้แต่ ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนเองก็ได้ การตกลงของคู่สมรสเพื่อเลือกใช้นามสกุลเช่นนี้ จะตกลงตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อครั้งจดทะเบียนสมรส หรือตกลงกันในภายหลัง และก็อาจเปลี่ยนใจเปลี่ยนข้อตกลงเดิมเมื่อใดก็ได้ เช่น ตอนจดทะเบียนสมรส ทั้งคู่เลือกใช้นามสกุลของสามี แต่ต่อมา ทั้งคู่เปลี่ยนใจเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของภรรยา หรืออาจจะตกลงกันใหม่ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของใครของมันก็ได้

- [ ] ชื่อสกุลของเด็กในการอุปการะ

เด็กบางคนเกิดมาอาภัพ บ้างทั้งพ่อและแม่ต่างเสียชีวิตทั้งคู่ ไม่มีญาติอุปการะเลี้ยงดู บ้างก็ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง รัฐจึงมีหน้าที่ตามหลักมนุษยธรรมนำเด็กเหล่านั้นไปอุปการะ ให้การศึกษา ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บางครั้งเด็กเหล่านี้ไม่มีแม้แต่นามสกุล จะสืบเสาะหาญาติพี่น้อง ก็ไม่พบใคร ด้วยเหตุนี้พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 จึงเปิดช่องให้ผู้อุปการะเลี้ยงดูเด็กเจ้าของสถานพยาบาล สถานสงเคราะห์ หรือสถานอุปการะเลี้ยงดูเด็ก สามารถจดทะเบียนตั้งชื่อสกุลของเด็กที่อยู่ในความอุปการะหรือความดูแลดังกล่าวได้ ในการนี้ อาจตั้งไว้หลายนามสกุลก็ได้และเมื่อใดก็ตาม มีเด็กสัญชาติไทยซึ่งไม่มีนามสกุลเข้ามาอยู่ในความดูแลของสถานที่แห่งนั้น ก็สามารถเลือกกำหนดชื่อสกุลให้แก่เด็กคนนั้นได้

- [ ] ความผิดฐานแท้งลูก

การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่น นำไปสู่ปัญหาการตั้งครรภ์และผลเสียต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย สิ่งหนึ่งมาจากการรู้เท่าไม่การณ์หรือเพราะความประมาท รวมถึงการขาดการเอาใจใส่จากครอบครัวและการขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา สาเหตุเหล่านี้เป็นปัญหาต้นๆ ที่ต้องรีบแก้ไขและให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียน นักศึกษา ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการทำแท้ง เพราะหากหญิงใดทำให้ตนแท้งลูกหรือยอมให้คนอื่นทำให้ตนแท้งลูกถือว่าหญิงนั้นหรือผู้กระทำนั้นได้กระทำผิดฐานทำให้แท้งลูก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สถานบริการหรือคลินิกที่เปิดให้บริการรับปรึกษาการตั้งครรภ์ ที่ได้จดขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บางครั้งหลายๆ สถานบริการ ยังเป็นสถานที่ให้บริการรับทำแท้งลูกให้กับหญิงสาวที่ยังไม่พร้อมมีบุตรหรือพลาดพลั้งมีเพศสัมพันธ์กับคนรักแล้วไม่ได้ป้องกันทำให้เกิดการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งกลุ่มหญิงเหล่านี้มักจะหาสถานบริการหรือผู้ให้บริการเถื่อนทำแท้งลูกให้ ซึ่งถือว่าการทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงยินยอมผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 302 ฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การทำแท้งถือเป็นความผิดตามกฎหมายไทย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำแท้งมีมาตลอดทุกยุค ทุกสมัย ซึ่งมีสาเหตุทางสังคมหลายประการ อาทิ ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ยังไม่ได้สมรส อยู่ในวัยเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังไม่รวมไปถึงการกระทำอันมีผลให้ผู้อื่นแท้งลูกโดยไม่ยินยอม ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 303 วรรค 1 ในฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

- [ ] ความผิดฐานทอดทิ้งลูก

บ่อยครั้งที่มีการนำเสนอข่าวเด็กถูกทอดทิ้งตามสถานที่ต่างๆโดยปราศจากผู้ปกครองดูแลอันเนื่องมาจากปัญหาครอบครัวแตกแยก การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ครอบครัวมีฐานะยากจน หรือพ่อ แม่หย่าร้างกัน ซึ่งพ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูกตัวเอง นอกจากจะไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบทางศีลธรรมแล้ว ยังถือเป็นความผิดทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และอื่นๆ ส่งผลให้บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวลดน้อยลง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงจนบางครอบครัวละเลยขาดการเหลียวแลเอาใจใส่ต่อคนใกล้ชิดหรือบุพการี และมีหลายกรณีที่ทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังในยามเจ็บป่วย ชรา เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา ว่าด้วยผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้เพราะอายุ ความเจ็บป่วยกายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสีย โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 307 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และอื่นๆ ส่งผลให้บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวลดน้อยลง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงจนบางครอบครัวละเลยขาดการเหลียวแลเอาใจใส่ต่อคนใกล้ชิดหรือบุพการี และมีหลายกรณีที่ทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังในยามเจ็บป่วย ชรา เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา ว่าด้วยผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้เพราะอายุ ความเจ็บป่วยกายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสีย โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 307 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

- [ ] ความรุนแรงในครอบครัว

การทำร้ายร่างกายของกันและกันระหว่างสามีและภรรยา ถือเป็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 หมายความว่า การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะ ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท ส่วน“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และในมาตรา4 ยังบัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

     โดยสรุป คือ กฎหมายห้ามบุคคลใดใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งจะมีความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความผิดข้อหานี้สามารถยอมความกันได้และมีอายุความ 3 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445

รู้กฎหมายไม่เสียเปรียบ (3)

เกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท

* ความผิดฐานหมิ่นประมาท

* การรับผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่ง

* กล่าวหาคนตาย อาจกลายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

* ด่าว่าผู้เสียชีวิต ก็ผิดได้

* ชอบโพสต์ ชอบแชร์ ระวังจะแย่ที่หลัง

* ขาเมาท์ อย่าเอาแค่มัน

- [ ] ความผิดฐานหมิ่นประมาท

มนุษย์ในสังคมย่อมมีข้อขัดแย้งโต้เถียงกันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนหมู่มากแต่หากมีบุคคลหนึ่งใส่ความ หรือกล่าวให้ร้ายผู้อื่นต่อบุคคลที่สามในทางที่เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง กฎหมายได้บัญญัติให้บุคคลที่จงใจกระทำผิดต้องรับโทษทางอาญา ฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326

- [ ] การรับผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่ง

การหมิ่นประมาท โดยการใส่ความหรือให้ร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียง และส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพ ตลอดจนความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ผู้เสียหายสามารถใช้สิทธิฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 423 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ การกระทำที่จะต้องรับผิดฐานหมิ่นประมาทในทางแพ่งจะต้องเป็นการใส่ความในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง เพราะหากเป็นความจริงไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้นอกจากนี้การรับผิดทางแพ่งนั้นไม่จำเป็นต้องมีเจตนาใส่ร้ายหรือใส่ความคนอื่นแม้เป็นการกระทำด้วยความประมาทเลินเล่อก็ต้องรับผิดเช่นกัน

- [ ] กล่าวหาคนตาย อาจกลายเป็นหมิ่นประมาท

นอกจากการไปทำกิริยาที่ไม่เหมาะสม เช่น ด่าทอ หรือเหยียดหยาม ผู้ตายซึ่งผู้กระทำก็ต้องรับโทษไปแล้ว หากมีการกระทำที่มากกว่านั้น จนถึงขั้นเป็นการใส่ความผู้ตาย ต่อบุคคลที่สาม ซึ่งการใส่ความนั้น น่าจะเป็นเหตุให้บิดามารดาคู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เช่น กล่าวหาว่าผู้ตายเสียชีวิต เพราะโรคเอดส์ และยังกล่าวหาว่าภรรยาของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่ติดเอดส์ด้วย การกล่าวหาในลักษณะเช่นนี้ ส่งผลให้ ภรรยาและคนในครอบครัวถูกสังคม รังเกียจ จึงสามารถใช้สิทธิฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 327 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

- [ ] ด่าว่าผู้เสียชีวิต ก็ผิดได้

แม้ว่าบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วจะไม่มีสิทธิลุกขึ้นตอบโต้กับใครได้ แต่ก็ยังได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายในกรณีที่มีผู้ไม่พอใจไปทำกิริยาหรือพูดจา ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ในลักษณะด่าทอหรือเหยียดหยามผู้เสียชีวิตด้วยเหตุผลส่วนตัว เช่น ไม่พอใจเรื่องแบ่งมรดกจึงไปยืนด่าศพที่ตั้งสวดอยู่บนศาลาภายในวัด

การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558 ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 366/4 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

- [ ] ชอบโพสต์ ชอบแชร์ ระวังจะแย่ที่หลัง

ในโลก Social Media (โซเชี่ยลมีเดีย) มักมีการส่งต่อ ที่เรียกว่า Share (แชร์) โดยเฉพาะภาพตัดต่อบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง ดาราชื่อดัง หรือแม้กระทั่งคนธรรมดาที่เรารู้จักมาส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูกัน ทั้งใน Facebook (เฟซบุ๊ค) ในไลน์ หรือช่องทางอินเตอร์เน็ท อันถือเป็นความสนุกสนานของ ชาวโลกออนไลน์ ความสนุกแบบนี้อาจกลายเป็นโทษได้ ถ้าเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ส่งผล ให้บุคคลที่เรานำภาพและเรื่องเขามาแชร์ เกิดความเสียหาย อันเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 16 ต้องรับโทษปรับไม่เกิน 60,000 และจำคุกไม่เกิน 3 ปี

- [ ] ขาเมาท์ อย่าเอาแค่มัน

การเม้าท์ กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมถือว่า เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับ วงสนทนาไปเสียแล้ว อันที่จริงการเม้าท์ที่ว่านี้สามารถทำได้ แม้จะไม่สมควร แต่เรื่องราวที่หยิบมาเม้าท์กันนั้น ก็ต้องมีข้อจำกัด แม้จะเป็นเรื่องพูดแค่ให้เกิด ความสนุก แต่ถ้าเรื่องนั้นได้รับการขยายออกไป จนกลายเป็นความเชื่อของผู้คน ในวงกว้าง อันจะนำไปสู่ความแตกตื่น เสียหาย ในภายหลัง แม้ผู้พูดอาจจะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เห็นแก่ความสนุกสนาน แต่ก็ถือว่ามีความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 384 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ฝากข้อความให้ทนายติดต่อกลับ https://bit.ly/หาทนาย
   

รู้กฎหมายไม่เสียเปรียบ (4)

กฎหมายเกี่ยวกับการจราจร

- [ ] จอดรถล้ำเส้น

- [ ] จอดรถขวาง

- [ ] ขี่หรือขับรถย้อนศร

- [ ] ปลอมป้ายทะเบียนรถ

- [ ] ขี่รถปาดหน้า

- [ ] จอดรถในที่ห้ามจอด

- [ ] ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่

- [ ] บรรทุกสิ่งของน่าจะทำให้เกิดอันตราย

- [ ] ชอบแต่หรือดัดแปลงรถ

- [ ] ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกไหนด

- [ ] เปลี่ยนสีรถ

- [ ] รถรับจ้างปฎิเสธไม่รับผู้โดยสาร

- [ ] ขับรถโดยสาร ไม่จอดป้าย


จอดรถล้ำเส้น

การขับขี่รถตามสัญญาณไฟจราจร ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องและควรยึดถือปฏิบัติ แต่มีบางกรณีที่ผู้ขับขี่หยุดรถ ล้ำเส้นหยุดที่กฎหมายกำหนด ซึ่งการกระทำดังกล่าวนอกจากจะ ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ขับขี่ต้อง เสียค่าปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท ในฐานความผิดหยุดรถล้ำเส้นหยุด ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 22, 24 และ 152

******************************

จอดรถขวาง

สภาพการจราจรที่ติดขัดในสังคมเมืองปัจจุบัน อาจส่งผลให้ ผู้ขับขี่บนท้องถนนต้องขับขี่ด้วยความรวดเร็วแข่งขันกับเวลา และ ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการจราจร บริเวณแยกใหญ่ที่ผู้ขับขี่ต่างเร่งเครื่องยนต์เพื่อให้ผ่านพ้นแยก ดังกล่าว แต่ด้วยการจราจรที่หนาแน่นส่งผลให้รถไม่สามารถ ผ่านไปได้และไปจอดขวางแยกเป็นเหตุให้การเดินรถอีกฝั่ง ไม่สามารถเดินรถได้ การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 55 (4) และ 148 มีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท

********************************

ขับรถย้อนศร

อุบัติเหตุทางจราจรที่เกิดขึ้นสาเหตุหนึ่งมาจากการที่ผู้ขับขี่ รถยนต์ - รถจักรยานยนต์ ฝ่าฝืนกฎจราจรในลักษณะขับขี่ย้อนศร โดยไม่ขับตามช่องทางจราจรที่ทางกรมการขนส่งทางบกได้กำหนด ไว้ให้ ซึ่งผู้ขับขี่ที่กระทำการดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 41 และ 148 มีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท

3 กระทรวงยุติธรรม กฎหมายสามัญประจำบ้าน

**********************************

ปลอมป้ายทะเบียนรถ

พาหนะที่ใช้ขับขี่บนท้องถนนต้องเป็นพาหนะที่ได้แจ้ง จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก และได้รับป้ายทะเบียนประจำพาหนะดังกล่าวอย่างถูกต้องจากกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น แต่มีผู้ขับขี่บางรายที่ทำการปลอมแปลงป้ายทะเบียนรถที่ลักขโมยมา เพื่อลักลอบส่งขาย หรือ เจตนาปลอมแปลงป้ายทะเบียนขึ้น แทนการแจ้งจดทะเบียนอย่างถูกต้องนั้น ถือว่าบุคคลนั้นได้ทำผิด ต่อพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2522 มาตรา 11 ที่ กำหนดไว้ว่ารถที่จดทะเบียนแล้วต้องมีและแสดงแผ่นป้ายและ เครื่องหมายครบถ้วนถูกต้องตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินสองพันบาท ตามมาตรา 60

***********************************

ขับขี่รถปาดหน้า

เรื่องการขับรถถือเป็นเรื่องมารยาททางสังคม บางท่านอาจเคยมี ประสบการณ์ถูกผู้ขับขี่รถยนต์คันอื่นขับรถปาดหน้า แซงในระยะกระชั้นชิด หรือแซงในพื้นที่เส้นทึบ ดังนั้น การใช้รถใช้ถนนจึงควร พึงระมัดระวังไม่ให้กระทำผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 46 ที่ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อ ขึ้นหน้ารถอื่นในกรณีต่อไปนี้ (1) เมื่อรถกำลังขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้ (2) ภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึงทางข้าม ทางร่วม ทางแยก วงเวียนหรือเกาะที่สร้างไว้ หรือทางเดินรถที่ตัดข้ามทางรถไฟ (3) เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้ ในระยะหกสิบเมตร (4) เมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่สี่ร้อยบาทถึงหนึ่งพันบาท ตามมาตรา 157

***********************************

จอดรถในที่ห้ามจอด

ปัจจุบันปริมาณรถยนต์มีอัตราเพิ่มขึ้นสวนทางกับ เส้นทางการเดิ นรถ และปริ มาณที่ จอดรถที่ มี อยู่เท่าเดิม ส่งผลให้ ผู้ขับขี่รถยนต์บางรายจำเป็นต้องจอดรถในพื้นที่ห้ามจอด เช่น บนทางเท้า บริเวณทางข้าม บริเวณที่มีเครื่องหมายห้ามจอดรถ ฯลฯ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 57 ประกอบมาตรา 148

*************************************

ใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนในปัจจุบัน สาเหตุสำคัญ ประการหนึ่งเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะ ผู้ขับขี่ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถซึ่งส่งผลให้สมาธิในการ ขับขี่ลดลง จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 43 จึงกำหนดให้ผู้ที่ ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ยานพาหนะ มีโทษปรับตั้งแต่สี่ร้อยบาท ถึงหนึ่งพันบาท

**************************************

บรรทุกสิ่งของก่อให้เกิดอันตราย

ผู้ขับขี่รถบรรทุกสำหรับบรรทุกคน สัตว์ หรือสิ่งของทุกชนิด จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ในการป้องกันมิให้ คน สัตว์ หรือสิ่งของที่ บรรทุกตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจากรถ อันอาจก่อเหตุเดือดร้อน รำคาญ ทำให้ทางสกปรกเปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยแก่ประชาชน หรือก่อให้ เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน หากผู้ขับขี่คนใดละเลย ข้อกำหนดดังกล่าวมีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 20 ประกอบมาตรา 148

**************************************

ชอบแต่งรถดัดแปลงรถ

รถยนต์แต่งซิ่งโดยส่วนใหญ่นิยมปรับแต่งท่อไอเสียรถยนต์ ให้มีเสียงดังเกินมาตรฐาน และอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อน รำคาญแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ทั้งนี้ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 9 ห้ามมิให้ผู้ใดนำรถที่เกิดเสียงอื้ออึง หรือมีสิ่งลากถูไปบนทางเดินรถมาใช้ในทางเดินรถ หากฝ่าฝืน มีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ตามมาตรา 148

***************************************

ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

เทคโนโลยีที่ทันสมัยส่งผลให้การบริการหรือการตรวจจับ การกระทำผิดกฎหมายสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจจับความเร็ว และบันทึกภาพผู้ขับขี่ที่กระทำผิดวินัยจราจร ดังนั้น หากพบหลักฐาน ว่าผู้ขับขี่รายใดขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กำหนดใน กฎกระทรวงหรือเกินกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในเครื่องหมายจราจร มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 67

****************************************

เปลี่ยนสีรถ

โรงงานผลิตรถยนต์โดยส่วนใหญ่ จะผลิตรถยนต์ตามสีมาตรฐาน หรือสียอดนิยมตามความต้องการของท้องตลาด เช่น สีขาว สีดำสีบรอนซ์เงิน เป็นต้น แต่ในกรณีที่ผู้ครอบครองรถไม่พึงพอใจในสีรถเดิมตามมาตรฐานโรงงาน สามารถนำรถยนต์ของตนไปเปลี่ยนสีใหม่ตามความต้องการได้ แต่ต้องไม่ลืมดำเนินการแจ้งการเปลี่ยนแปลงสีรถยนต์ต่อนายทะเบียนภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง หากเกินกำหนด หรือไม่ดำเนินการให้เรียบร้อย มีโทษปรับไม่เกินสองพันบาท ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2522 มาตรา 13 ประกอบ มาตรา 60

***************************************

รถรับจ้างปฎิเสธรับผู้โดยสาร

หลายๆ ท่าน อาจเคยได้รับทราบข่าวการปฏิเสธรับผู้โดยสาร หรือปล่อยผู้โดยสารกลางทางของรถยนต์รับจ้างสาธารณะจากหน้าหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ ฯลฯ หรืออาจเคยได้รับประสบการณ์โดยตรงถูกรถยนต์รับจ้างสาธารณะปฏิเสธรับ - ส่งผู้โดยสาร ซึ่งการกระทำดังกล่าวของผู้ขับรถยนต์รับจ้างสาธารณะถือเป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2522 มาตรา 57 ประกอบ มาตรา 60 มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท เว้นแต่การบรรทุกนั้นน่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ขับขี่ หรือแก่ผู้โดยสาร จึงสามารถปฏิเสธไม่ให้บริการรับ - ส่งผู้โดยสารได้

****************************************

ขับรถประจำทาง ไม่จอดป้ายโดยสาร

ประชาชนส่วนใหญ่นิยมใช้บริการโดยสารรถประจำทางสาธารณะ เนื่องจากมีความสะดวก และประหยัดค่าเดินทาง อย่างไรก็ตาม ยังพบปัญหากรณีที่รถโดยสารประจำทางไม่จอดป้ายรับ - ส่งผู้โดยสารบริเวณป้ายหยุดรถประจำทางที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ อาจมีสาเหตุมาจากพนักงานขับรถมักขับรถเลนขวาสุด หรือใช้ความเร็วสูง ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พุทธศักราช 2522 มาตรา 105 ประกอบมาตรา 127 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ฝากข้อความให้ทนายติดต่อกลับ https://bit.ly/หาทนาย